ค้นหาอะไรก็เจอ...โดยกูเกิล

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2558

โบกรถไปเวียงจันทน์

อ่านหัวเรื่องแล้วอาจจะงงสักเล็กน้อยว่าทำไมต้องโบกรถไปเวียงจันทน์ เรื่องราวมันเป็นแบบนี้ครับ หลังจากที่กรุ๊ปทัวร์แรกในชีวิตของมิสเตอร์ฮ้อตเซีย มาถึงเชียงขวาง และตระเวณเที่ยวที่นี่อีก 1 วัน 2 คืน เราก็ออกเดินทางไปเวียงจันทน์กันต่อครับ ซึ่งเช้าวันที่ออกเดินทางเราไปก็ขึ้นรถโดยสาร ที่ขนส่งเชียงขวางกันตามปกติ รถโดยสารมีแอร์ด้วย เดินทางมาได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงบนถนน เรียบ ๆ และพักกินอาหารกลางวันเรียบร้อย หลังจากนั้นก็ต้องแยกเข้าทางที่ต้องลุยฝุ่นซึ่ง ณ. เวลานั้นฝนตกครับ ถนนฝุ่นดินแดงเลยกลายเป็น ถนนโคลน รถก็เลยต้องค่อย ๆ วิ่งช้า ๆ ไป
รถที่เราโดยสารไปเวียงจันทน์
ท้องฟ้าสวยๆ ก่อนออกเดินทางสู่เวียงจันทน์
สภาพภาพในรถโดยสารดูดี ใช้ได้ทีเดียว
วิวสองข้างทางช่วงแรกดูสวยงามครับ
ผมประมาณว่ารถน่าจะวิ่งด้วยความเร็วไม่เกิน 5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในใจผมตอนนั้นก็คิดแล้วว่า ถ้าเป็นแบบไปเรื่อย กว่าจะถึงเวียงจันทน์ ก็น่าจะเที่ยงคืน แน่น จากเดิมที่เราต้องถึงเวียงจันทน์ประมาณ 4-5 โมงเย็น ตอนนั้นมีรถติดหล่มโคลนให้เห็นอยู่บ้างคันสองคัน ส่วนใหญ่เป็นรถเล็ก กำลังอาจจะไม่พอ แต่สำหรับรถบัสแบบที่เราโดยสารไม่น่าจะมีปัญหา ทั้งน้ำหนักรถและกำลังของเครื่องยนต์น่าจะผ่าน ได้สบายแต่อาจจะช้าหน่อย
สภาพถนนช่วงแรก ๆ ที่เริ่มลุย ยังพอไปได้ครับ
รถคันนี้ติดโคลนขวางทางเราอยู่ จนต้องเข็นถอยหลังให้เราไปก่อน

เราคืบคลานไปได้สักพักก็เจอปัญหาใหญ่ครับ นั้นคือ มีรถบรรทุกน้ำมันหักครึ่งจอดขวางทางเราอยู่ ผ่านได้เฉพาะรถเล็ก รถบัส หรือ รถบรรทุกใหญ่ ผ่านไม่ได้แน่นอน เพราะอีกด้านที่รถจอดขวางอยู่เป็นเหวครับ ช่วงแรกที่เจอก็พอมีหวังเพราะเห็นคนกำลังรุมล้อมกันอยู่คงกำลังหาทางแก้ไขอยู่ แต่พอเดินลงไปดูและได้คุยกับคนขับรถบัสของเราบอกว่าคืนนี้สงสัยได้นอนกลางป่ากันแน่ ๆ
อ้าวแบบนี้ไม่ได้เรื่องแล้วครับ เค้าบอกว่ากว่าจะเรียกรถยกมายกได้คงมืด ๆ ในใจผมตอนนั้นทางออกเดียวของเราคือ โบกรถครับ ต้องหารถไปให้ได้นอนค้างในป่าไม่ได้แน่ และทางเดียวที่จะไปได้คือรถเล็กอย่างรถกระบะ เพราะเรามากันหลายคนรถเก๋งไม่พอแน่ ด้งนั้น กิจกรรมการโบกรถจึงเริ่มขึ้นครับ
เดินลงไปดูว่ามีอะไรขวางอยู่ข้างหน้า
หักครึ่งเลยครับขยับไม่ได้ ด้านหลังพี่เสื้อแดงเป็นเหวนะครับ
โชคยังดีครับ คุณหมอ(เสื้อสีขาว) ใจดียอมรับเราไปด้วย


ผมพยายามโบกอยู่สองสามคันไม่ยอมจอด จนคันที่สี่ผมให้น้องหยกสาวอีสานร่างเล็กเป็นคนโบก ได้ผลครับรถกระบะที่เราหมายตาไว้จอด จากนั้นก็ให้น้องหยกเว้าภาษาอีสานขอโดยสารรถไปเวียงจันทน์ด้วยพวกเรามีกันหกคน น่าจะพอนั่งท้ายรถกระบะไปได้ แล้วก็โชคดีมากครับเค้ายอมรับเราไปเวียงจันทน์ด้วย ผมเลยให้น้องหยก ยื่นคุยกับเจ้าของรถไว้ (กลัวเค้าเปลี่ยนใจไม่ยอมรับไปด้วย) แล้วพวกเราห้าคนวิ่งกลับไปที่รถบัสไปเอาของ ระยะทางประมาณ 300 เมตร กับเป้หนัก ๆ เล่นเอาเหงื่อซึม ๆ ครับ

คุณหมอใจดีครับ นอกจากพาไปส่งแล้วยังพาเที่ยวด้วย
แวะเที่ยวระหว่างไปเวียงจันทน์
นั่งท้ายกระบะ ต้องจับไว้แน่น ๆ ครับ คุณหมอขับรถเร็วมาก

หลังจากได้รถไปเวียงจันทน์ ช่วงแรก ผมเข้าไปนั่งรถรถซึ่งมีผู้โดยสารมาแล้วสามคน รวมคนขับด้วยเป็นสี่คน พวกเราเข้าไปนั่งอีกสอง รวมทั้งหมดข้างในรถเป็นหกคนที่เหลือนั่งท้ายกระบะซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของต่าง ๆ ก็ได้ข้อมูลมาว่าผู้ที่รับเราเป็นคุณหมอทหารครับ เป็นผู้พันเลย อยู่ที่โรงพยาบาลทหารเชียงขวาง มากับภรรยาที่เป็นพยาบาลและมีผู้ติดตามมาอีกสองคน
จริง ๆ แล้วคุณหมอบอกว่าจะจอดตั้งแต่ผมโบกแล้ว แต่ช่วงที่ผมโบกคุณหมอจอดไม่ได้เพราะเป็นเนินขาลงและเป็นโคลนจอดไม่ได้อันตราย จึงจอดเลยจากจุดที่ผมโบกไปเยอะ คุณหมอบอกว่าปกติแล้ว ในลาวเค้าจะไม่จอดรถรับคนแปลกหน้ากันกลัวมีปัญหาเรื่อง ยาเสพติด แต่เห็นเราเป็นนักท่องเที่ยวเป็นคนไทยเลยจอดรับ เราโชคดีมาก ๆ ครับ

ถึงแล้วเวียงจันทน์

หลังจากจอดพักที่บ้านพี่ชายคุณหมอ ซึ่งก็ประมาณครึ่งทางก่อนถึงเวียงจันทน์ก็ถึงคิวผมไปนั่งรับลมที่ท้ายกระบะบ้าง ต้องจับแน่น ๆ ครับหมอขับรถเร็วมาก และผมก็พลาดจนได้คือ หมวกผมปลิวหายครับ หมวกที่ใช้ใส่ถ่ายคลิปมาเป็นปี เสียดายมาก ก็เลยต้องนั่งผมปลิวไปจนถึงเวียงจันทน์ ก็ประมาณ 1 ทุ่มครับ นี่ละครับที่มาของการที่ต้องโบกรถไปเวียงจันทน์ เกือบจะต้องกินข้าวลิงกลางป่าที่ลาวซะแล้วครับ